เมนู

ทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ยึดถือ เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ได้เห็นแล้วซึ่ง
ความสงบภายใน.

[326] คำว่า เรากล่าวสิ่งนี้ ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เรานั้น มี
ความว่า คำว่า เรากล่าวสิ่งนี้ ความว่า เราย่อมกล่าวสิ่งนี้ คือ ย่อม
กล่าวสิ่งนั้น กล่าวเท่านั้น กล่าวโดยเหตุเท่านั้น กล่าวทิฏฐิว่า โลก
เที่ยง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตาย ย่อมเป็นอีก ก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีก
ก็หามิได้.
คำว่า ย่อมไม่มีแต่เรานั้น ความว่า มิได้มีแก่เรา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า เรากล่าวสิ่งนี้ ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เรานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสเรียกพราหมณ์นั้น โดยชื่อว่า มาคันทิยะ.
คำว่า ภควา เป็นชื่อที่กล่าวโดยเคารพ ฯลฯ
คำว่า ภควา นี้ เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า:- ดูก่อนมาคันทิยะ

ว่าด้วยทิฏฐิ 62



[327] คำว่า การถึงความตกลงในธรรมทั้งหลายแล้วถือ
มั่น
มีความว่า คำว่า ในธรรมทั้งหลาย ได้แก่ ในทิฏฐิ 62 คำว่า
ถึงความตกลง ความว่า ตัดสินแล้ว คือ ชี้ขาด ค้นหา แสวงหา เทียบ
เคียง ตรวจตรา สอบสวน ทำให้แจ่มแจ้งแล้วจึงจับมั่น ยึดมั่น ถือมั่น
รวบถือ รวมถือ รวบรวมถือ คือ ความถือ ความยึดถือ ความยึดมั่น
ความถือมั่น ความน้อมใจเชื่อว่า สิ่งนี้จริง แท้ แน่นอน เป็นตามสภาพ

มิได้วิปริต ดังนี้ ย่อมไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เข้าไปได้ คือ เป็นธรรมอัน
พระตถาคตละ ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสีย
แล้วติดไฟคือญาณ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า การถึงความตกลงในธรรม
ทั้งหลายแล้วถือมั่น
.
[328] คำว่า เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ยืดถือ มี
ความว่า เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ย่อมไม่ถือ คือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือ
มั่นซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายเราไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น
ไม่พึงถือมั่น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า และเราเห็นโทษในทิฏฐิ
ทั้งหลาย ไม่ยึดถือ
.
อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลายว่า ทิฏฐินี้ว่า โลกเที่ยง
สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้ เป็นทิฏฐิรกเรี้ยว เป็นทิฏฐิเสี้ยนหนาม
เป็นทิฏฐิข้าศึก เป็นทิฏฐิดิ้นรน เป็นทิฏฐิเครื่องประกอบไว้ มีทุกข์ มี
ความลำบาก มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อ
หน่าย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความดับ ไม่เป็น
ไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้
ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน จึงไม่ถือ ไม่ลูบคลำ ไม่ยึดมั่นซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย
อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายเราไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น ไม่พึงถือมั่น
แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า และเราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย
ไม่ยึดถือ
.
อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลายว่า ทิฏฐินี้ว่า โดยไม่
เที่ยง โลกมีที่สุด โลกไม่มีที่สุด ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น ชีพเป็นอัน

สรีระก็เป็นอื่น สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้วย่อมเป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่
ตายแล้วย่อมไม่เป็นอีก สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็มี ย่อม
ไม่เป็นอีกก็มี สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่
เป็นอีกก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า ดังนี้ เป็นทิฏฐิรกเรี้ยว
เป็นทิฏฐิเสี้ยนหนาม เป็นทิฏฐิข้าศึก เป็นทิฏฐิดิ้นรน เป็นทิฏฐิเครื่อง
ประกอบไว้ มีทุกข์ มีความลำบาก มีความคับแค้น มีความเร่าร้อน
ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ไม่เป็นไป
เพื่อความดับ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ไม่เป็น
ไปเพื่อความตรัสรู้. ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน จึงไม่ถือ ไม่ลูบคลำ ไม่ยึดมั่น
ซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายเราไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น
ไม่พึงถือมั่น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า และเราเห็นโทษในทิฏฐิ
ทั้งหลาย ไม่ยึดถือ
.
อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลายว่า ทิฏฐิเหล่านี้ อัน-
บุคคลถืออย่างนี้ ลูบคลำอย่างนี้ ย่อมมีคติอย่างนี้ มีภพหน้าอย่างนี้ จึง
ไม่ถือ ไม่ลูบคลำ ไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้ง
หลายเราไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น ไม่พึงถือมั่น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้
จึงชื่อว่า และเราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ยึดถือ.
อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลายว่า ทิฏฐิเหล่านี้ เป็นไป
เพื่อให้เกิดในนรก เป็นไปเพื่อให้เกิดในกำเนิดดิรัจฉาน เป็นไปเพื่อ
ให้เกิดในเปรตวิสัย จึงไม่ถือ ไม่ลูบคลำ ไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย
อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายเราไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น ไม่พึงถือมั่น แม้

ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า และเราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่
ยึดถือ.
อีกอย่างหนึ่ง เราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลายว่า ทิฏฐิเหล่านี้ไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มีความ
เสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็น
ธรรมดา จึงไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลายเรา
ไม่พึงถือ ไม่พึงลูบคลำ ไม่พึงยึดมั่น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
และเราเห็นโทษในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ยึดถือ.
[329] คำว่า เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ได้เห็นแล้ว ซึ่งความสงบ
ภายใน
มีความว่า ซึ่งความสงบ ความเข้าไปสงบ ความดับ ความระงับ
ราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ผูกโกรธ ลบหลู่ ตีเสมอ ริษยา
ตระหนี่ ลวง โอ้อวด หัวดื้อ แข็งดี ถือตัว ดูหมิ่น มัวเมา ประมาท
กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง ความเร่าร้อน
ทั้งปวง ความเดือนร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง คำว่า เมื่อเลือก
เฟ้นอยู่
ความว่า เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ คือ ค้นหา แสวงหา เทียบเคียง
ตรวจตรา สอบสวน ทำให้แจ่มแจ้งว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้ง
ปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯลฯ สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดเป็น
ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา คำว่า ได้เห็นแล้ว
ความว่า ได้เห็นแล้ว คือ ได้ประสบ พบเห็น แทงตลอด เพราะฉะนั้น
จึงซึ่งว่า เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ได้เห็นแล้วซึ่งความสงบภายใน เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :- ดูก่อนมาคันทิยะ

การถึงความตกลงในธรรมทั้งหลายแล้ว ถือมั่นว่า
เรากล่าวสงนี้ ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่เรานั้น และเราเห็นโทษ
ในทิฏฐิทั้งหลาย ไม่ยืดถือ เมื่อเลือกเฟ้นอยู่ ได้เห็นแล้ว
ซึ่งความสงบภายใน.

[330] มาคันทิยะพราหมณ์ทูลถามว่า :-
ทิฏฐิเหล่าใดที่ตกลงใจดำริแล้ว ท่านมุนีไม่ถือมั่น
ทิฏฐิเหล่านั้น กล่าวอรรถใดว่า ความสงบภายในอรรถนั้น
ธีรชนทั้งหลายประกาศไว้อย่างไรหนอ ?

[331] คำว่า ทิฏฐิเหล่าใดที่ตกลงใจดำริแล้ว มีความว่า ทิฏฐิ
62 ประการ เรียกว่า ทิฏฐิที่ตกลงใจ.
คำว่า ดำริแล้ว ได้แก่ กำหนดแล้ว ปรุงแต่งแล้ว ตั้งไว้ด้วยดี
แล้ว เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดำริแล้ว. อีกอย่างหนึ่ง ทิฏฐิทั้งหลาย ไม่
เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา มี
ความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความคลายไปเป็นธรรมดา มีความดับไปเป็น
ธรรมดา มีความเปรปรวนเป็นธรรมดา แม้เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ดำริ
แล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ทิฏฐิเหล่าใดที่ตกลงใจดำริแล้ว.
ศัพท์ว่า อิติ ในบทว่า อิติ มาคนฺทิโย เป็นบทสนธิ ฯลฯ ศัพท์
ว่าอิติ นี้เป็นลำดับบท.
บทว่า มาคนฺทิโย เป็นนาม เป็นเครื่องนับ เป็นที่หมายรู้เป็น
เครื่องเรียกของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อิติ มาคนฺทิโย.

[332] คำว่า ท่านเป็นมุนีไม่ถือมั่นทิฏฐิเหล่านั้น กล่าว
อรรถใดว่า ความสงบภายใน
มีความว่า คำว่า ทิฏฐิเหล่านั้น
ได้แก่ทิฏฐิ 62.
คำว่า มุนี ความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ ได้แก่ปัญญา ความ
รู้ทั่ว ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้อง และตัณหาเพียงดังข่าย บุคคล
นั้นชื่อว่า มุนี
คำว่า ไม่ถือมั่น ความว่า ท่านรับรองว่า เราเห็นโทษในทิฏฐิ
ทั้งหลาย จึงไม่ถือ ไม่ลูบคลำ ไม่ยึดมั่น ซึ่งทิฏฐิทั้งหลาย และกล่าวว่า
ความสงบภายใน.
คำว่า อรรถนั้นใด ได้แก่อรรถอย่างยิ่งใด เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
ท่านเป็นมุนีไม่ถือมั่นในทิฏฐิเหล่านั้น กล่าวอรรถใดว่า ความ
สงบภายใน
.
[333] คำว่า อรรถนั้น ธีรชนทั้งหลาย ประกาศไว้อย่าง
ไรหนอ
มีความว่า คำว่า อย่างไรหนอ เป็นคำถามโดยสงสัย เป็น
คำถามโดยแคลงใจ เป็นคำถาม 2 ทาง เป็นคำถามโดยส่วนเป็นอเนก
ว่าอย่างนั้น หรือหนอ ว่ามิใช่หรือหนอ ว่าเป็นอย่างไรหรือหนอ ว่าอย่าง
ไรเล่าหนอ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อย่างไรหนอ.
คำว่า ธีรชนทั้งหลาย ได้แก่ บัณฑิต บุคคลผู้มีปัญญา ผู้มี
ความรู้ ผู้มีญาณ ผู้มีปัญญาเป็นเครื่องทรงจำ.
คำว่า ประกาศไว้ ได้แก่ กล่าว ประกาศ บอก แสดง บัญญัติ
แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก ทำให้ตื้น ประกาศแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อ

ว่าอรรถนั้น ธีรชนทั้งหลายประกาศไว้อย่างไรหนอ เพราะเหตุนั้น พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มาคันทิยพราหมณ์ทูลถามว่า :-
ทิฏฐิเหล่าใดที่ตกลงใจดำริแล้ว ท่านเป็นมุนีไม่ถือ
มั่นทิฏฐิเหล่านั้น กล่าวอรรถใดว่า ความสงบภายในอรรถ
นั้น ธีรชนทั้งหลายประกาศไว้อย่างไรหนอ ?

[334] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :- ดูก่อนมาคันทิยพราหมณ์
บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยทิฏฐิไม่กล่าว
ความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วย
ญาณ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและพรต บุคคล
ย่อมถึงความสงบภายในด้วยความไม่มีทิฏฐิ ด้วยความไม่มี
สุตะด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่มีศีล ด้วยความไม่มี
พรตก็หามิได้ บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น
เป็นผู้สงบ ไม่อาศัยแล้ว ไม่พึงหวังภพ.

[335] คำว่า บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยทิฏฐิ
ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วย
ญาณ
มีความว่า บัณฑิตไม่กล่าว คือ ไม่บอก ไม่พูด ไม่แสดง ไม่
แถลงซึ่งความหมดจด คือ ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความ
พ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบ แม้ด้วยทิฏฐิ....แม้ด้วยสุตะ....แม้ด้วย
ทิฏฐิและสุตะ....แม้ด้วยญาณ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บัณฑิตไม่กล่าว
ความหมดจดแม้ด้วยทิฏฐิ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยสุตะ

ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก
พราหมณ์นั้นโดยชื่อว่า มาคันทิยะ.
คำว่า ภควา เป็นชื่อที่กล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้เป็น
สัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า....พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :- ดูก่อน
มาคันทิยะ.
[336] คำว่า บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจด แม้ด้วยศีล
และพรต
มีความว่า บัณฑิตไม่กล่าว คือ ไม่บอก ไม่พูด ไม่แสดง
ไม่แถลง ซึ่งความหมดจด คือ ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ
ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบ แม้ด้วยศีล....แม้ด้วยพรต
.....แม้ด้วยศีลและพรต เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บัณฑิตไม่กล่าวความ
หมดจดแม้ด้วยศีลและพรต
.
[337] คำว่า บุคคลย่อมถึงความสงบภายใน ด้วยความ
ไม่มีทิฏฐิ ด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่
มีศีล ด้วยความไม่มีพรต ก็หามิได้
มีอธิบายดังต่อไปนี้ แม้ทิฏฐิพึง
ประสงค์เอาสัมมาทิฏฐิมีวัตถุ 10 คือ ทานที่ให้แล้วย่อมมีผล การบูชาย่อม
มีผล การเช่นสรวงย่อมมีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่ทำดีและกรรมที่ทำชั่วมีอยู่
โลกนี้มีอยู่ โลกหน้ามีอยู่ มารดามีอยู่ บิดามีอยู่ เหล่าสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะ
มีอยู่ สมณพราหมณ์ที่ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ผู้ทำให้แจ้งซึ่งโลกนี้และ
โลกหน้าด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้วประกาศมีอยู่ในโลก. แม้สุตะพึงประสงค์
เอาเสียงแต่บุคคลอื่น คือ สุตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน
อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวลัลละ แม้ญาณพึงประสงค์เอากัมมัสส-

กตาญาณ สัจจานุโลมิกญาณ อภิญญาญาณ สมาปัตติญาณ แม้ศีลพึงประสงค์
เอาปาติโมกขสังวรศีล แม้วัตรพึงประสงค์เอาธุดงค์ 8 คือ อารัญญิกังคธุดงค์
ปิณฑปาติกังคธุดงค์ ปังสุกูลิกังคธุดงค์ เตจีวริกังคธุดงค์ สปทานจาริ-
กังคธุดงค์ ขลุปัจฉาภัตติกังคธุดงค์ เนสัชชิกังคธุดงค์ ยถาสันถติกังค-
ธุดงค์.
คำว่า บุคคลย่อมถึงความสงบภายใน ด้วยความไม่มีทิฏฐิ
ด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่มีศีล ด้วย
ความไม่มีพรต ก็หามิได้
ความว่า บุคคลเป็นผู้บรรลุถึงความสงบ
ภายใน ด้วยธรรมสักว่าสัมมาทิฏฐิ ก็หามิได้. ด้วยธรรมสักว่าการฟัง ก็
หามิได้. ด้วยธรรมสักว่าญาณ ก็หามิได้. ด้วยธรรมสักว่าศีล ก็หามิได้
ด้วยธรรมสักว่าพรต ก็หามิได้. ย่อมบรรลุถึงความสงบภายใน เว้นจาก
ธรรมเหล่านี้ ก็หามิได้. ก็เพราะธรรมเหล่านี้เป็นเครื่องอุดหนุน เพื่อถึง
บรรลุ ถูกต้อง ทำให้แจ้งซึ่งความสงบภายใน เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
บุคคลย่อมถึงความสงบภายในด้วยความไม่มีทิฏฐิ ด้วยความไม่
มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่มีศีล ด้วยความไม่มี
พรต ก็หามิได้
.
[338] คำว่า บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น มี
ความว่า การละโดยความกำจัดธรรมฝ่ายดำ ด้วยธรรมเหล่านี้ จำต้อง
ปรารถนา ความหมดตัณหาในธรรมทั้งหลายฝ่ายกุศลอันมีในไตรธาตุ จำ
ต้องปรารถนา ธรรมฝ่ายดำเป็นธรรมอันบุคคลละได้แล้ว ด้วยการละโดย
ความจำกัด มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึง
ความไม่มีภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา และความหมด

ตัณหาในธรรมทั้งหลาย ฝ่ายกุศลอันมีในไตรธาตุ ย่อมมีได้โดยเหตุใด
บุคคลย่อมไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น แม้โดยเหตุเท่านั้น อีกอย่างหนึ่ง
ธรรมฝ่ายคำเหล่านั้น บุคคลไม่พึงถือ ไม่พึงยึดมั่น ไม่พึงถือมั่นแม้ด้วย
เหตุอย่างนี้จึงชื่อว่า บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น.
ตัณหา ทิฏฐิ และมานะ เป็นกิเลสชาติอันบุคคลละได้แล้ว มีราก
อันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง
มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา โดยเหตุใด บุคคลย่อมไม่ถือ ไม่ยึด
มั่น ไม่ถือมั่น แม้โดยเหตุเท่านั้น แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น.
ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อาเนญชาภิสังขาร เป็นสภาพอัน
บุคคลละได้แล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน
ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา โดยเหตุใด
บุคคลย่อมไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น แม้โดยเหตุเท่านั้น แม้ด้วยเหตุ
อย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น.
[339] คำว่า เป็นผู้สงบ ไม่อาศัยแล้ว ไม่พึงหวังภพ มี
ความว่า คำว่า เป็นผู้สงบ ได้แก่ ชื่อว่า เป็นผู้สงบ เข้าไปสงบ
ดับระงับแล้ว เพราะราคะ โทสะ โมหะ ความโกรธ ความผูกโกรธ
ความลบหลู่ ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความ
โอ้อวด ความกระด้าง ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา
ความประมาท กิเลสทั้งปวง ทุจริตทั้งปวง ความกระวนกระวายทั้งปวง

ความเร่าร้อนทั้งปวง ความเดือนร้อนทั้งปวง อกุสลาภิสังขารทั้งปวง
สงบ ถึงความสงบ เข้าไปสงบ ไหม้แล้ว ระงับแล้ว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
เป็นผู้สงบ.
นิสัย ในคำว่า ไม่อาศัยแล้ว มี 2 อย่างคือ ตัณหานิสัย 1
ทิฏฐินิสัย ฯลฯ นี้ชื่อว่า ตัณหานิสัย ฯลฯ นี้ชื่อว่าทิฏฐินิสัย บุคคล
ละตัณหานิสัย สละคืนทิฏฐินิสัยเสียแล้ว ไม่อาศัย คือไม่ถือ ไม่ยึดมั่น
ไม่ถือมั่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
สกุล คณะ อาวาส ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ
คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ
อรูปภพ สัญญาภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ
จตุโวการภพ ปัญจโวการภพ อดีต อันธาตุ ปัจจุบัน ธรรมที่ได้เห็น
ที่ได้ยิน ที่ทราบ ที่รู้แจ้ง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้สงบไม่อาศัย
แล้ว
. คำว่า ไม่พึงหวังภพ ความว่า ไม่พึงหวัง ไม่พึงประสงค์ไม่
พึงปรารถนา ซึ่งกามภพ รูปภพ อรูปภพ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่าเป็นผู้
สงบ ไม่อาศัยแล้ว ไม่พึงหวังภพ
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้าตรัสว่า :- ดูก่อนมาคันทิยพราหมณ์
บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยทิฏฐิ ไม่กล่าว
ความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วย
ญาณ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและพรต บุคคล
ย่อมถึงความสงบภายในด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่

มีญาณ ด้วยความไม่มีศีล ด้วยความไม่มีพรต ก็หามิได้
บุคคลสละธรรมเหล่านั้นแล้ว ไม่ถือมั่น เป็นผู้สงบ ไม่
อาศัยแล้ว ไม่พึงหวังภพ.

[340] มาคันทิยพราหมณ์ทูลว่า :-
ได้ยินว่า ถ้าบัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วย
ทิฏฐิไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมด
จดแม้ด้วยญาณ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและพรต
บุคคลย่อมถึงความสงบภายใน ด้วยความไม่มีทิฏฐิ ด้วย
ความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณด้วยความไม่มีศีล ด้วย
ความไม่มีพรต ก็หามิได้ไซร้ ข้าพเจ้าย่อมสำคัญธรรมของ
ท่านว่า เป็นธรรมของคนโง่เขลาโดยแท้ เพราะสมณ-
พราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมดจดด้วยทิฏฐิ.

[341] คำว่า ได้ยินว่า ถ้าบัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้
ด้วยทิฏฐิ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมด
จดแม้ด้วยญาณ
มีความว่า บัณฑิตไม่กล่าว คือ ไม่บอก ไม่พูด ไม่แสดง
ไม่แถลง ซึ่งความหมดจด คือ ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ
ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบ แม้ด้วยทิฏฐิ....แม้ด้วยสุตะ....
แม้ด้วยทิฏฐิและสุตะ....แม้ด้วยญาณ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ได้ยินว่า ถ้า
บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยทิฏฐิ ไม่กล่าวความหมดจด
แม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยญาณ
.

ศัพท์ว่า อิติ ในบทว่า อิติ มาคนฺทิโย เป็นบทสนธิ ฯลฯ
ศัพท์ว่า อิติ นี้เป็นลำดับบท.
บทว่า มาคนฺทิโย เป็นชื่อของพราหมณ์นั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
อิติ มาคนฺทิโย.
[342] คำว่า บัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและ
พรต
มีความว่า บัณฑิตไม่กล่าว คือ ไม่บอก ไม่พูด ไม่แสดง ไม่แถลง
ซึ่งความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ แม้ด้วยศีล ซึ่ง
ความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ แม้ด้วยวัตร ซึ่ง
ความหมดจด ความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้น
วิเศษ ความพ้นรอบ แม้ด้วยศีลและพรต เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บัณฑิต
ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและพรต
.
[343] คำว่า บุคคลย่อมถึงความสงบภายในด้วยความไม่
มีทิฏฐิ ด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่มี
ศีล ด้วยความไม่มีพรต ก็หามิได้ไซร้
มีความว่า ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า
แม้ทิฏฐิก็พึงประสงค์ แม้สุตะก็พึงประสงค์ แม้ญาณก็พึงประสงค์ แม้ศีลก็
พึงประสงค์ แม้พรตก็พึงประสงค์ ท่านไม่อาจอนุญาตโดยส่วนเดียว ท่าน
ไม่อาจห้ามโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลย่อมถึงความสงบ
ภายใน ด้วยความไม่มีทิฏฐิ ด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มี
ญาณ ด้วยความไม่มีศีล ด้วยความไม่มีพรต ก็หามิได้ไซร้
.
[344] คำว่า ข้าพเจ้าย่อมสำคัญธรรมของท่านว่าเป็นธรรม
ของคนโง่เขลาโดยแท้
มีความว่า ข้าพเจ้าย่อมสำคัญ คือ ย่อมรู้ทั่ว

ย่อมแทงตลอดอย่างนี้ว่า ธรรมของท่านนี้เป็นธรรมของตนโง่เขลา คือ
เป็นธรรมของคนพาล เป็นธรรมของคนหลง เป็นธรรมของตนไม่มีความรู้
เป็นธรรมกวัดแกว่งไม่ตายตัว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ข้าพเจ้าย่อมสำคัญ
ธรรมของท่านว่าเป็นธรรมของคนโง่เขลาโดยแท้
.
[345] คำว่า เพราะสมณพราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความ
หมดจดด้วยทิฏฐิ
มีความว่า สมณพราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมด
จด คือความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ
ความพ้นรอบ ด้วยทิฏฐิ คือสมณพราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมดจด
คือความหมดจดวิเศษ ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ
ความพ้นรอบ ด้วยทิฏฐิว่า โลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า
สมณพราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมดจด คือความหมดจดวิเศษ
ความหมดจดรอบ ความพ้น ความพ้นวิเศษ ความพ้นรอบ ด้วยทิฏฐิว่า
โลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีก ก็หามิได้
ย่อมไม่เป็นอีก ก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เพราะฉะนั้นจึง
ชื่อว่า เพราะสมณพราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมดจดด้วย
ทิฏฐิ
เพราะเหตุนั้น มาคันทิยพราหมณ์นั้นจึงทูลว่า :-
ได้ยินว่า ถ้าบัณฑิตไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วย
ทิฏฐิ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยสุตะ ไม่กล่าวความ
หมดจดแม้ด้วยญาณ ไม่กล่าวความหมดจดแม้ด้วยศีลและ
พรต บุคคลย่อมถึงความสงบภายใน ด้วยความไม่มีทิฏฐิ
ด้วยความไม่มีสุตะ ด้วยความไม่มีญาณ ด้วยความไม่มีศีล

ด้วยความไม่มีพรต ก็หามิได้ไซร้ ข้าพเจ้าย่อมสำคัญธรรม
ของท่านว่า เป็นธรรมของตนโง่เขลาโดยแท้ เพราะสมณ-
พราหมณ์บางพวก ย่อมถึงความหมดจดด้วยทิฏฐิ
.
[346] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :- ดูก่อนมาคันทิยะ
ท่านอาศัยทิฏฐิทั้งหลายถามอยู่เนื่อง ๆ ได้ถึงความ
หลงใหลในทิฏฐิทั้งหลายที่ท่านยึดถือแล้ว และท่านไม่ได้
เห็นสัญญาแม้น้อยจากธรรมนี้ เพราะฉะนั้นท่านจึงประสบ
แต่ความหลง.

[347] คำว่า ท่านอาศัยทิฏฐิทั้งหลายถามอยู่เนือง ๆ มี
ความว่า มาคันทิยพราหมณ์อาศัยทิฏฐิถามทิฏฐิ อาศัยความเกี่ยวข้องถาม
ความเกี่ยวข้อง อาศัยความผูกพันถามความผูกพัน อาศัยความกังวลถาม
ความกังวล.
คำว่า ถามอยู่เนือง ๆ ได้แก่ ถามอยู่บ่อย ๆ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
ท่านอาศัยทิฏฐิทั้งหลายถามอยู่เนือง ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกพราหมณ์
นั้นโดยชื่อว่า มาคันทิยะ.
คำว่า ภควา เป็นชื่อที่กล่าวโดยเคารพ ฯลฯ คำว่า ภควา นี้
เป็นสัจฉิกาบัญญัติ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ดูก่อนมาคันทิยพราหมณ์
[348] คำว่า ได้ถึงความหลงใหลในทิฏฐิทั้งหลายที่ท่าน
ยึดถือแล้ว
มีความว่า ทิฏฐิใดอันท่านถือ คือ ยึดมั่น ถือมั่น ติดใจ
น้อมใจ เชื่อแล้ว ท่านเป็นผู้หลง หลงใหล ลุ่มหลง ถึงความหลง ถึง
ความหลงใหล ถึงความลุ่มหลง เป็นผู้แล่นไปสู่ที่มืดด้วยทิฏฐินั้นนั่นแหละ

เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ได้ถึงความหลงใหลในทิฏฐิทั้งหลายที่ท่านยึด
ถือแล้ว
.
[349] คำว่า และท่านไม่ได้เห็นสัญญาแม้น้อยจากธรรมนี้
มีความว่า ท่านย่อมไม่ได้พบสัญญาอันควร สัญญาอันถึงแล้ว สัญญาใน
ลักษณะ สัญญาในการณะ หรือสัญญาในฐานะ จากธรรมนี้ คือจากความ
สงบภายใน จากความปฏิบัติ หรือจากธรรมเทศนา ท่านจักได้ญาณแต่ที่
ไหน แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้จึงชื่อว่า และท่านไม่ได้เห็นสัญญาแม้
น้อยจากธรรมนี้
.
อีกอย่างหนึ่ง ท่านไม่ได้พบเบญจขันธ์อันไม่เที่ยงบ้าง ญาณอัน
อนุโลมแก่อนิจจสัญญาบ้าง เบญจขันธ์อันเป็นทุกข์บ้าง ญาณอันอนุโลม
แก่ทุกขสัญญาบ้าง เบญจขันธ์อันเป็นอนัตตาบ้าง ญาณอันอนุโลมแก่
อนัตตสัญญาบ้าง ธรรมสักว่าความเกิดขึ้นแห่งสัญญาบ้าง ธรรมเป็นนิมิต
แห่งสัญญาบ้าง ท่านจักได้ญาณแต่ที่ไหน แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า
และท่านไม่ได้เห็นสัญญาแม้น้อยจากธรรมนี้.
[350] คำว่า เพราะฉะนั้นท่านจึงประสบแต่ความหลง
มีความว่า คำว่า เพราะฉะนั้น ได้แก่ เพราะฉะนั้น คือ เพราะ
การณ์นั้น เพราะเหตุนั้น เพราะปัจจัยนั้น เพราะนิทานนั้น ท่าน
จึงประสบคือ พบ เห็น แลเห็น เพ่งเห็น พิจารณาเห็นแต่ธรรม
ของคนหลงคือ ธรรมของคนพาล ธรรมของคนหลงใหล ธรรม
ของคนไม่มีความรู้ ธรรมอันกวัดแกว่งไม่ตายตัว เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า

เพราะฉะนั้นท่านจึงประสบแต่ความหลง เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :- ดูก่อนมาคันทิยะ
ท่านอาศัยทิฏฐิทั้งหลายถามอยู่เนือง ๆ ได้ถึงความ
หลงใหลในทิฏฐิทั้งหลายที่ท่านยึดถือแล้ว และท่านไม่ได้
เห็นสัญญาแม้น้อยจากธรรมนี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงประสบ
แต่ความหลง.

[351] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ผู้ใดย่อมสำคัญว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา หรือ
ว่าเราเลวกว่าเขา ผู้นั้นพึงวิวาทด้วยความถือตัวนั้น บุคคล
ไม่หวั่นไหวในความถือตัว 3 อย่าง ความสำคัญว่า เรา
เสมอเขา เราดีกว่าเขา หรือว่าเราเลวกว่าเขา ย่อมไม่มี
แก่บุคคลนั้น.

[352] คำว่า ผู้ใดย่อมสำคัญว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา
หรือว่าเราเลวกว่าเขา ผู้นั้น พึงวิวาทด้วยความถือตัวนั้น
มีความ
ว่าผู้ใดย่อมสำคัญว่า เราเป็นผู้เสมอเขาก็ดี เราเป็นผู้ดีกว่าเขาก็ดี เราเป็น
ผู้เลวกว่าเขาก็ดี ผู้นั้นพึงทำความทะเลาะ ทำความหมายมั่น ทำความแก่ง
แย่ง ทำความวิวาท ทำความมุ่งร้ายกัน ด้วยความถือตัวนั้นบ้าง ด้วยทิฏฐิ
นั้นบ้าง ด้วยบุคคลนั้นบ้างว่าท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ เรารู้ธรรมวินัยนี้ ท่าน
จักรู้ธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด เราปฏิบัติชอบ คำของเรามี
ประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์ คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวที
หลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน คำที่คล่องแคล่วของท่านกลับ

ขัดข้องไป เราใส่โทษท่านแล้ว ท่านถูกเราปรามแล้ว ท่านจงเที่ยวไป
หรือแก้ไขเพื่อเปลื้องวาทะ ถ้าท่านสามารถเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้ใดย่อม
สำคัญว่า เราเสนอเขาเราดีกว่าเขา หรือว่าเราเลวกว่าเขา ผู้นั้น
พึงวิวาทด้วยความถือตัวนั้น
.
[353] คำว่า บุคคลไม่หวั่นไหวในเพราะความถือตัว 3
อย่างความสำคัญว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา หรือว่าเราเลว
ว่าเขาย่อมไม่มีแก่บุคคลนั้น
มีความว่า ความถือตัว 3 อย่างนั้น
บุคคลใดละได้แล้ว ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผา
เสียแล้วด้วยไฟคือญาณ บุคคลนั้นย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เอนเอียงไปใน
เพราะความถือตัว 3 อย่าง ความสำคัญว่า เราเป็นผู้เสมอเขาก็ดี เราเป็น
ผู้ดีกว่าเขาก็ดี เราเป็นผู้เลวกว่าเขาก็ดี ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่หวั่นไหว.
คำว่า ย่อมไม่มีแต่บุคคลนั้น ความว่า ย่อมไม่มีแก่เรา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า บุคคลไม่หวั่นไหวในเพราะความถือตัว 3 อย่าง ความ
สำคัญว่า เราเสนอเขา เราดีกว่าเขา หรือว่าเราเลว ว่าเขา ย่อม
ไม่มีแก่บุคคลนั้น
เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
ผู้ใดย่อมสำคัญว่า เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา หรือ
ว่าเราเลวกว่าเขาผู้นั้นพึงวิวาทด้วยความถือตัวนั้น บุคคล
ไม่หวั่นไหวในเพราะความถือตัว 3 อย่าง ความสำคัญว่า
เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา หรือว่าเราเลวกว่าเขา ย่อมไม่
มีแก่บุคคลนั้น.

[354] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงกล่าวสิ่งอะไรว่าจริง
เล่า หรือบุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงโต้เถียงว่า สิ่งนั้น
เท็จ ด้วยความถือตัวอะไรเล่า. ความสำคัญว่าดีกว่าเขาก็ดี
ความสำคัญว่าเลวกว่าเขาก็ดี ย่อมไม่มีในพระอรหันตขีณา-
สพใด พระอรหันตขีณาสพนั้นจะพึงโต้ตอบวาทะด้วย
ความถือตัวอะไรเล่า.

[355] คำว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงกล่าวสิ่งอะไร
ว่าจริงเล่า
มีความว่า คำว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์ ความว่า ชื่อว่า
เป็นพราหมณ์ เพราะลอยเสียแล้วซึ่งธรรม 7 ประการ ฯลฯ บุคคลนั้นอัน
ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยแล้ว เป็นผู้คงที่ เรียกว่า เป็นพราหมณ์ เพราะ
ฉะนั้น จึงชื่อว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงกล่าวสิ่งอะไรว่าจริง
เล่า
. คำว่า พึงกล่าวสิ่งอะไร ความว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์พึงกล่าว
คือพึงบอก พูด แสดง สิ่งอะไรเล่า ว่าโลกเที่ยง สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่ง
อื่นเปล่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์พึงกล่าว คือ พึงบอก พูด แสดง แถลง
สิ่งอะไรเล่าว่า โลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีก
ก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีก ก็หามิได้ สิ่งนี้เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เพราะ
ฉะนั้นจึงชื่อว่า บุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงกล่าวสิ่งอะไรว่าจริง
เล่า
.
[356] คำว่า หรือบุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงโต้เถียงว่า
สิ่งนั้นเท็จ ด้วยความถือตัวอะไรเล่า
มีความว่า พราหมณ์พึงทำความ

ทะเลาะ ทำความหมายมั่น ทำความแก่งแย่ง ทำความวิวาท ทำความ
มุ่งร้าย ด้วยความถือตัวอะไรเล่า ด้วยทิฏฐิอะไรเล่า หรือด้วยบุคคลอะไร
เล่า ว่าคำของเราเท่านั้นจริง คำของท่านเท็จ ท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ
หรือปลดเปลื้องวาทะถ้าท่านสามารถ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า หรือบุคคลผู้
เป็นพราหมณ์นั้น พึงโต้เถียงว่า สิ่งนั้นเท็จด้วยความถือตัวอะไร
เล่า
.
[357] คำว่า ความสำคัญว่าเสมอเขาก็ดี ความสำคัญว่าดี
กว่าเขาก็ดี ความสำคัญว่าเลวกว่าเขาก็ดี ย่อมไม่มีในพระอรหันต-
ขีณาสพใด
มีความว่า ความถือตัวว่าเราเป็นผู้เสมอเขา ความถือตัวจัด
ว่าเราเป็นผู้ดีกว่าเขา ความถือตัวต่ำว่าเราเป็นผู้เลวกว่าเขา ย่อมไม่มี คือ
ย่อมไม่ปรากฏ ย่อมไม่เข้าไปได้ ในพระอรหันตขีณาสพใดคือ ย่อมเป็น
กิเลส อันพระอรหันตขีณาสพละแล้ว ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้
ไม่ควรเกิดขึ้นเผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ความ
สำคัญว่าเสมอเขาก็ดี ความสำคัญว่าดีกว่าเขาก็ดี ความสำคัญว่า
เลวกว่าเขาก็ดี ย่อมไม่มีในพระอรหันตขีณาสพใด
.
[358] คำว่า พระอรหันตขีณาสพนั้น จะพึงโต้ตอบวาทะ
ด้วยความถือตัวอะไรเล่า
มีความว่า พระอรหันตขีณาสพนั้น พึงโต้ตอบ
คือพึงโต้เถียงวาทะ ทำความทะเลาะ ทำความหมายมั่น ทำความแก่งแย่ง
ทำความวิวาท ทำความมุ่งร้ายกัน ด้วยความถือตัวอะไรเล่า ด้วยทิฏฐิ
อะไรเล่า หรือด้วยบุคคลไรเล่า ว่าท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ เพื่อปลด
เปลื้องวาทะ ถ้าท่านสามารถ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า พระอรหันตขีณา-

สพนั้นจะพึงโต้ตอบวาทะด้วยความถือตัวอะไรเล่า เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
บุคคลผู้เป็นพราหมณ์นั้น พึงกล่าวสิ่งอะไรว่าจริง
เล่า หรือบุคคลผู้เป็นพราหมณ์ พึงโต้เถียงว่า สิ่งนั้นเท็จ
ด้วยความถือตัวอะไรเล่า ความสำคัญว่าเสมอเขาก็ดี ความ
สำคัญว่าดีกว่าเขาก็ดี ความสำคัญว่าเลวว่าเขาก็ดี ย่อมไม่
มีในพระอรหันตขีณาสพใด พระอรหันตขีณาสพนั้นจะพึง
โต้ตอบวาทะด้วยความถือตัวอะไรเล่า.

[359] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลที่อยู่แล้ว ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ มุนีไม่ทำ
ความเยื่อใยในกาม เปล่าจากกามทั้งหลาย ไม่มุ่งหมาย
อัตภาพต่อไป ไม่พึงทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน.

[360] ครั้งนั้นแล คหบดีชื่อหาลินทกานิ เข้าไปหาท่านพระมหา
กัจจานะถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กล่าว
กะท่านพระมหากัจจานะดังนี้ว่า ข้าแต่พระมหากัจจานะผู้เจริญ พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสพระพุทธภาษิตนี้ไว้ในมาคันทิยปัญหา อันมีมาในอัฏฐก-
วรรคว่า :-
บุคคลที่อยู่แล้ว ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ มุนีไม่ทำ
ความเยื่อใยในกาม เปล่าจากกามทั้งหลาย ไม่มุ่งหมาย
อัตภาพต่อไป ไม่พึงทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน
ดังนี้.

ข้าแต่พระมหากัจจานะผู้เจริญ เนื้อความแห่งพระพุทธภาษิตที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้โดยย่อนี้ จะพึงเห็นโดยพิสดารได้อย่างไร ?
ท่านพระมหากัจจานะตอบว่า ดูก่อนคหบดี รูปธาตุเป็นที่อาศัยแห่ง
วิญญาณ ก็แหละวิญญาณที่ผูกพันไว้ด้วยราคะในรูปธาตุ เรียกว่า ท่อง
เที่ยวไปสู่ที่อยู่ ดูก่อนคหบดี เวทนาธาตุ....สัญญาธาตุ....สังขารธาตุเป็นที่
อาศัยแห่งวิญญาณ ก็แหละวิญญาณที่ผูกพันไว้ด้วยราคะในสังขารธาตุเรียกว่า
ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ ดูก่อนคหบดี บุคคลเป็นผู้ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความปรารถนา
อุบายและอุปาทานอันเป็นเหตุยึดมั่นถือมั่น และนอนเนื่องแห่งจิตใดในรูป
ธาตุ ความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว มีราก
อันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง
มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเรียกพระ-
ตถาคตว่า ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่. ดูก่อนคหบดี ความพอใจ ความกำหนัด
ความเพลิน ความปรารถนา อุบายและอุปาทานอันเป็นเหตุยึดมั่นถือมั่น
และนอนเนื่องแห่งจิตใดในเวทนาธาตุ....ในสัญญาธาตุ.....ในสังขารธาตุ.....
ในวิญญาณธาตุความพอใจเป็นต้นเหล่านั้น อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว
มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีใน
ภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเรียก
พระตถาคตว่า ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่. ดูก่อนคหบดีบุคคล เป็นผู้ไม่ท่อง
เที่ยวไปสู่ที่อยู่ อย่างนี้แล.

ดูก่อนคหบดี ก็บุคคลเป็นผู้ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่อย่างไร ? ดูก่อนคหบดี
ความท่องเที่ยวไปและความผูกพันในที่อยู่คือรูปนิมิต สัททนิมิต คันธนิมิต
รสนิมิต โผฏฐัพพนิมิต ธรรมนิมิต เรียกว่า ความท่องเที่ยวไปในที่อยู่.
ดูก่อนคหบดี บุคคลเป็นผู้ท่องเที่ยวไปในที่อยู่อย่างนี้แล ดูก่อนคหบดี ก็
บุคคลเป็นผู้ไม่ท่องเที่ยวไปในที่อยู่อย่างไร ? ดูก่อนคหบดี ความท่องเที่ยว
ไปและความผูกพันในที่อยู่คือรูปนิมิต อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว มี
รากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภาย
หลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรม เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเรียกพระ
ตถาคตว่า ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ ดูก่อนคหบดี ความท่องเที่ยวไปและ
ความผูกพันในที่อยู่คือสัททนิมิต คันธนิมิต รสนิมิต โผฏฐัพพนิมิต และ
ธรรมนิมิต อันพระตถาคตทรงละเสียแล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้
ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อ
ไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น บัณฑิตจึงเรียกพระถตาคตว่า ไม่ท่องเที่ยว
ไปสู่ที่อยู่. ดูก่อนคหบดี บุคคลเป็นผู้ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็บุคคลเป็นผู้เกิดความเยื่อใยในกาม อย่างไร ? ดูก่อน
คหบดี ก็ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้เกี่ยวข้องกับคฤหัสถ์ทั้งหลาย
เพลินร่วมกัน โศกร่วมกัน เมื่อพวกคฤหัสถ์ถึงความสุข ก็สุขด้วย ถึง
ความทุกข์ ก็ทุกข์ด้วย เมื่อพวกคฤหัสถ์มีกิจที่ควรทำเกิดขึ้น ก็ช่วยเหลือ
ด้วยตนเอง. ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้เกิดความเยื่อใยในกาม อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็บุคคลเป็นผู้ไม่เกิดความเยื่อใยในกาม อย่างไร ? ดูก่อน
ก่อนคหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกคฤหัสถ์ ไม่

เพลินร่วมกัน ไม่โศกร่วมกัน เมื่อพวกคฤหัสถ์ถึงความสุข ก็ไม่สุขด้วย
ถึงความทุกข์ ก็ไม่ทุกข์ด้วย เมื่อพวกคฤหัสถ์มีกิจที่ควรทำเกิดขึ้น ก็ไม่
ช่วยเหลือด้วยตนเอง. ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้ไม่เกิดความเยื่อใยในกาม
อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่เปล่าจากกามทั้งหลายอย่างไร ? ดูก่อน
คหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ไม่ปราศจากความกำหนัด ความ
พอใจ ความรักใคร่ ความหวัง ความเร่าร้อน ความปรารถนาในกาม
ทั้งหลาย. ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้ไม่เปล่าจากกามทั้งหลาย อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุเป็นผู้เปล่าจากกามทั้งหลายอย่างไร ? ดูก่อน
คหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด ความพอใจ
ความรักใคร่ ความหวัง ความเร่าร้อน ความปรารถนา ในกามทั้งหลาย
ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้เปล่าจากกามทั้งหลาย อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุเป็นผู้มุ่งหมายอัตภาพต่อไป อย่างไร ? ดูก่อน
คหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคต
กาลขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ ถึงความเพลินในรูปนั้น มีความปรารถนาอย่าง
นี้ว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงมีเวทนาอย่างนี้....ขอเราพึงมีสัญญาอย่างนี้....
ขอเราพึงมีสังขารอย่างนี้....ขอเราพึงมีวิญญาณอย่างนี้ ถึงความเพลินใน
วิญญาณนั้น. ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้มุ่งหมายอัตภาพต่อไป อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุเป็นผู้ไม่มุ่งหมายอัตภาพต่อไป อย่างไร ? ดู
ก่อนคหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไม่มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ในอนาคต
กาล ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ ไม่ถึงความเพลินในรูปนั้น ไม่มีความปรารถนา

อย่างนี้ว่า ในอนาคตกาล ขอเราพึงมีเวทนาอย่างนี้....ขอเราพึงมีสัญญา
อย่างนี้....ขอเราพึงมีสังขารอย่างนี้....ขอเราพึงมีวิญญาณอย่างนี้ ไม่ถึงความ
เพลินในวิญญาณนั้น. ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้ไม่มุ่งหมายอัตภาพต่อไป
อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน อย่างไร ?
ดูก่อนคหบดี ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ทำถ้อยคำเห็นปานนี้ว่า
ท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ หรือจงแก้ไขเพื่อปลดเปลื้องวาทะ ถ้าท่าน
สามารถ ดูก่อนคหบดี ภิกษุเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน อย่างนี้
แล.
ดูก่อนคหบดี ก็ภิกษุไม่เป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน อย่างไร
ดูก่อนคหบดี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่เป็นผู้ทำถ้อยคำเห็นปานนี้ว่า ท่าน
ไม่รู้ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ หรือจงแก้ไขเพื่อปลดเปลื้องวาทะ ถ้าท่านสามารถ
ดูก่อนคหบดี ภิกษุไม่เป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน อย่างนี้แล.
ดูก่อนคหบดี พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธภาษิตใด ในมาคัน-
ทิยปัญหาอันมีมาในอัฏฐกวรรคว่า :-
บุคคลที่อยู่แล้ว ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ มุนีไม่ทำ
ความเยื่อใยในกาม เปล่าจากกามทั้งหลาย ไม่มุ่งหมาย
อัตภาพต่อไปไม่พึงทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน
ดังนี้.
ดูก่อนคหบดี เนื้อความแห่งพระพุทธภาษิตที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสแล้วโดยย่อนี้แล พึ่งเห็นโดยพิสดารอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-

บุคคลละที่อยู่แล้ว ไม่ท่องเที่ยวไปสู่ที่อยู่ มุนีไม่
ทำความเยื่อใยในกาม เปล่าจากกามทั้งหลาย ไม่มุ่งหมาย
อัตภาพต่อไป ไม่พึงทำถ้อยคำแก่งแย่งกับด้วยชน.

[361] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลชื่อว่านาค สงัดแล้วจากทิฏฐิเหล่าใด พึง
เที่ยวไปในโลก บุคคลถือว่านาค ไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่า
นั้นกล่าว ดอกบัวมีก้านขรุขระ เกิดแต่อัมพุคือน้ำ อันน้ำ
และเปือกตมไม่เข้าไปติด ฉันใด มุนีผู้กล่าวความสงบ
ไม่ติดพัน ไม่เข้าไปติดในกามและในโลก ฉันนั้น.

[362] คำว่า สงัดแล้วจากทิฏฐิเหล่าใด พึงเที่ยวไป
ในโลก
มีความว่า คำว่า เหล่าใด ได้แก่ ทิฏฐิทั้งหลาย. คำว่า สงัด
แล้ว ความว่า สงัด ว่าง เปล่า จากกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต
ราคะ ฯลฯ อกุสลาภิสังขารทั้งปวง. คำว่า พึงเที่ยวไป ความว่า พึง
เที่ยวไปอยู่ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษา บำรุง ยังชีวิตให้เป็น
ไป. คำว่า ในโลก ได้แก่ ในมนุษยโลก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
สงัดแล้วจากทิฏฐิเหล่าใด พึงเที่ยวไปในโลก.
[363] คำว่า บุคคลชื่อว่านาค ไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่านั้น
กล่าว
มีความว่า คำว่า นาค ความว่า ชื่อว่า นาค เพราะอรรถ
ว่า ไม่ทำความชั่ว. ชื่อว่า นาค เพราะอรรถว่า ไม่ถึง. ชื่อว่า นาค
เพราะอรรถว่า ไม่มา.

บุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่ทำความชั่ว อย่างไร ? ธรรม
ทั้งหลายที่เป็นบาปเป็นอกุศล ทำความเศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่ มี
ความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ เป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา และ
มรณะต่อไป เรียกว่า ความชั่ว สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
ดูก่อนสภิยะ
บุคคลไม่ทำความชั่วใด ๆ ในโลก สลัดกิเลสเป็น
เครื่องผูกในความประกอบทั้งปวง ไม่เกี่ยวข้องในธรรม
ทั้งปวง เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เป็นผู้คงที่ บัณฑิตกล่าวว่า
นาค เพราะเป็นผู้เที่ยงตรง.

บุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่ทำความชั่ว อย่างนี้.
บุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่ถึง อย่างไร ? บุคคลชื่อว่า
นาคย่อมไม่ถึงฉันทาคติ ไม่ถึงโทสาคติ ไม่ถึงโมหาคติ ไม่ถึงภยาคติ ไม่
ถึงด้วยสามารถแห่งราคะ ไม่ถึงด้วยสามารถแห่งโทสะ ไม่ถึงด้วยสามารถ
แห่งโมหะ ไม่ถึงด้วยสามารถแห่งมานะ ไม่ถึงด้วยสามารถแห่งทิฏฐิ ไม่
ถึงด้วยสามารถแห่งอุทธัจจะ ไม่ถึงด้วยสามารถแห่งวิจิกิจฉา ไม่ถึงด้วย
สามารถแห่งอนุสัย ย่อมไม่ไป ดำเนินไป แล่นไป เพราะธรรมทั้งหลาย
อันทำความเป็นพวกบุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่ถึง อย่างนี้.
บุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่มา อย่างไร ? กิเลสเหล่าใด
อันบุคคลนั้นละได้แล้วด้วยโสดาปัตติมรรค บุคคลนั้นย่อมไม่มา ไม่ย้อน
มาไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก กิเลสเหล่าใดอันบุคคลนั้นละได้แล้วด้วย
สกทาคามิมรรค....ด้วยอนาคามิมรรค....ด้วยอรหัตตมรรค บุคคลนั้นย่อม

ไม่มา ไม่ย้อนมา ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก บุคคลชื่อว่านาค เพราะ
อรรถว่า ไม่มา อย่างนี้.
คำว่า บุคคลถือว่านาค ไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่านั้นกล่าว
ความว่า บุคคลชื่อว่านาค ไม่ถือ คือ ไม่พึงจับถือเอา ไม่ยึดมั่น ไม่
ถือมั่นทิฏฐิเหล่านั้น กล่าวคือ บอก พูด แสดง แถลงว่า โลกเที่ยง
โลกไม่เที่ยง ฯลฯ สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีก ก็หามิได้ ย่อม
ไม่เป็นอีก ก็หามิได้ สิ่งนี้ เท่านั้นจริง สิ่งอื่นเปล่า เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
บุคคลชื่อว่านาค ไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่านั้นกล่าว.
[364] คำว่า ดอกบัวมีก้านขรุขระ เกิดแต่อัมพุคือน้ำ
อันน้ำและเปือกตมไม่เข้าไปติด ฉันใด
มีความว่า น่าเรียกว่าเอละ
น้ำเรียกว่าอัมพุ ดอกบัวเรียกว่าอัมพุชะ ก้านขรุขระเรียกว่าก้านมีหนาม
น้ำเรียกว่าวารี ดอกบัวที่เกิดแต่น้ำเป็นอยู่ในน้ำ อันน้ำและเปือกตมไม่ติด
ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไปติด คือเป็นของอันน้ำและเปือกตมไม่ติด ไม่ติด
พร้อมไม่เข้าไปติด ฉันใด เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ดอกบัวมีก้านขรุขระ
เกิดแต่อัมพุคือน้ำ อันน้ำและเปือกตมไม่เข้าไปติด ฉันใด
.
[365] คำว่า มุนีผู้กล่าวความสงบ ไม่ติดพัน ไม่เข้าไปติด
ในกามและในโลก ฉันนั้น
มีความว่า ศัพท์ว่า เอวํ เป็นอุปไมย
เครื่องยังอุปมาให้ถึงพร้อม. คำว่า มุนี ความว่า ญาณ เรียกว่า โมนะ
ฯลฯ ก้าวล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องและตัณหาเพียงดังข่าย บุคคลนั้นชื่อว่า
มุนี คำว่า ผู้กล่าวความสงบ ความว่า มุนี ผู้กล่าวธรรมสงบ กล่าว

ธรรมต้านทาน กล่าวธรรมที่หลีกเร้น กล่าวธรรมเป็นที่พึ่ง กล่าวธรรม
ที่ไม่มีภัย กล่าวธรรมที่ไม่เคลื่อน กล่าวธรรมที่ไม่ตาย กล่าวนิพพาน
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีผู้กล่าวความสงบ....ฉันนั้น. คำว่า ไม่ติดพัน
ความว่าตัณหาเรียกว่า ความติดพัน ได้แก่ ความกำหนัด ความกำหนัด
กล้า ฯลฯ อภิชฌา โลภะ อกุศลมูล ความติดพันนั้น อันมุนีใดละ ตัด
ขาดสงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้ว ด้วยไฟคือญาณ
มุนี นั้นเรียกว่า ผู้ไม่ติดพัน มุนีนั้น ไม่ติดพัน ไม่พัวพัน ไม่หมกมุ่น
ไม่ลุ่มหลง ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ สกุล คณะ อาวาส
ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานปัจจัยเภสัช-
บริขาร กามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ สัญญา-
ภพ อสัญญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตุโวการภพ
ปัญจโวการภพ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ในธรรมที่ได้เห็น ที่ได้ยิน ที่
ทราบ ที่รู้แจ้ง คือ เป็นผู้มีความติดพันอันปราศจาก สละ คาย พ้น
ละ สละคืนแล้ว เป็นผู้มีความกำหนัดอันปราศจาก สละ คาย พ้น ละ
สละคืนแล้ว เป็นผู้ไม่หิว เป็นผู้ดับ เป็นผู้เย็น เป็นผู้มีตนอันประเสริฐ
เสวยสุขอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีผู้กล่าวความสงบ ไม่ติดพัน......
ฉันนั้น
.
คำว่า ไม่เข้าไปติดในกามและในโลก ความว่า กาม โดยหัว
ข้อมี 2 อย่าง คือ วัตถุกาม 1 กิเลสกาม 1 ฯลฯ นี้เรียกว่าวัตถุกาม
ฯลฯ นี้เรียกว่ากิเลสกาม. คำว่า ในโลก ได้แก่ ในอบายโลก มนุษย์
โลก เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก คำว่า ความติด ได้แก่

ความติด 2 อย่าง คือ ความติดด้วยตัณหา 1 ความติดด้วยทิฏฐิ 1 ฯลฯ
นี้ชื่อว่าความติดด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความติดด้วยทิฏฐิ มุนีละความ
ติดด้วยตัณหา สละคืนความติดด้วยทิฏฐิแล้ว ย่อมไม่ติด ไม่ติดพร้อม
ไม่เข้าไปติด คือ เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่ติด ไม่ติดพร้อม ไม่เข้าไป
ติด ในกามและในโลก เป็นผู้ออก สลัดออก พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง
มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีผู้กล่าวความสงบ
ไม่ติดพัน ไม่เข้าไปติดในกามและในโลก ฉันนั้น
เพราะเหตุนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
บุคคลชื่อว่านาค สงัดแล้วจากทิฏฐิเหล่าใด พึง
เที่ยวไปในโลก บุคคลชื่อว่านาค ไม่พึงยึดถือทิฏฐิเหล่านั้น
กล่าว ดอกบัวมีก้านขรุขระ เกิดแต่อัมพุคือน้ำ อันน้ำและ
เปือกตมไม่เข้าไปติด ฉันใด มุนีผู้กล่าวความสงบ ไม่
ติดพัน ไม่เข้าไปติดในกามและในโลกฉันนั้น.

[366] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
มุนีผู้ถึงเวทนั้น ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ ไม่ถึงความ
ถือตัวด้วยอารมณ์ที่ทราบ มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีตัณหา อัน
ธรรมและเสียงที่ได้ยินไม่พึงนำไปได้ เป็นผู้อันตัณหาและ
ทิฏฐิไม่นำเข้าไปในที่อาศัยทั้งหลาย.

[367] คำว่า มุนีผู้ถึงเวทนั้น ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ ไม่ถึง
ความถือตัวด้วยอารมณ์ที่ทราบ
มีความว่า ศัพท์ว่า เป็นปฏิเสธ.
คำว่า ผู้ถึงเวท ความว่า ญาณในมรรค 4 ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญา

พละ ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา วิปัสสนา สัมมา
ทิฏฐิ เรียกว่า เวท. มุนีนั้นเป็นผู้ถึงที่สุด บรรลุที่สุด ถึงส่วนสุด
บรรลุส่วนสุด ถึงที่สุดรอบ บรรลุที่สุดรอบ ถึงที่สิ้นสุด บรรลุที่สิ้นสุด
ถึงที่ป้องกัน บรรลุที่ป้องกัน ถึงที่หลีกเร้น บรรลุที่หลีกเร้น ถึงที่พึ่ง
บรรลุที่พึ่ง ถึงที่ไม่มีภัย บรรลุที่ไม่มีภัย ถึงที่ไม่เคลื่อน บรรลุที่ไม่เคลื่อน
ถึงที่ไม่ตาย บรรลุที่ไม่ตาย ถึงนิพพาน บรรลุนิพพาน แห่งชาติ ชรา
และมรณะ ด้วยเวทเหล่านั้น.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ชื่อว่าเวท เพราะอรรถว่า ถึงที่สุดด้วยเวท
ทั้งหลายบ้าง หรือเพราะเป็นผู้รู้แจ้งธรรม 7 ประการ คือ รู้แจ้งสักกาย-
ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ราคะ โทสะ โมหะ มานะ เป็นผู้รู้
แจ้งซึ่งอกุศลธรรมอันลามก อันทำความเศร้าหมอง ให้เกิดในภพใหม่
มีความกระวนกระวาย มีวิบากเป็นทุกข์ เป็นปัจจัยแห่งชาติ ชรา และ
มรณะต่อไป สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า :- ดูก่อนสภิยะ
บุคคลเลือกเฟ้นเวททั้งสิ้นของสมณพราหมณ์ทั้ง
หลายที่มีอยู่ เป็นผู้ปราศจากราคะในเวทนาทั้งปวง ล่วง
เวททั้งปวงแล้วชื่อว่า เวทคู.

คำว่า ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ ความว่า ทิฏฐิ 62 อันมุนีนั้นละ
ตัดขาด สงบ ระงับแล้ว ทำให้ไม่ควรเกิดขึ้น เผาเสียแล้วด้วยไฟคือญาณ
มุนีนั้น ย่อมไม่ไป ไม่ดำเนินไป ไม่เลื่อนลอยไป ไม่แล่นไป ด้วยทิฏฐิ
ทั้งไม่ย้อน ไม่กลับมาสู่ทิฏฐินั้นโดยความเป็นสาระ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
มุนีผู้ถึงเวทนั้น ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ.

คำว่า ไม่ถึงความถือตัวด้วยอารมณ์ที่ทราบ ความว่า มุนีนั้น
ไม่ถึง ไม่เข้าถึง ไม่เข้าไปถึง ไม่ถือ ไม่ยึดมั่น ไม่ถือมั่น ซึ่งความถือ
ตัว ด้วยรูปที่ทราบก็ดี ด้วยเสียงแห่งผู้อื่นก็ดี ด้วยสมบัติแห่งมหาชนก็ดี
เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีผู้ถึงเวทนั้น ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ ไม่ถึง
ความถือตัวด้วยอารมณ์ที่ทราบ
.
คำว่า มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีตัณหา ความว่า มุนี ย่อมเป็นผู้ไม่มี
ตัณหา คือ ไม่เป็นผู้มีตัณหาเป็นอย่างยิ่ง ไม่เป็นผู้มีตัณหาเป็นเบื้องหน้า
ด้วยสามารถแห่งตัณหา ด้วยสามารถแห่งทิฏฐิ ตัณหา ทิฏฐิและมานะ
เป็นสภาพอันมุนีละแล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน
ถึงความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ด้วยเหตุ
เท่าใด มุนีนั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มีตัณหา ไม่มีตัณหาเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีตัณหา
เป็นเบื้องหน้า ด้วยเหตุเท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มี
ตัณหา
.
[368] คำว่า เป็นผู้อันธรรมและเสียงที่ได้ยินไม่พึงนำไป
ได้
มีความว่า คำว่า อันธรรม....ไม่ ความว่า มุนีนั้น ย่อมไม่ไป
ไม่ดำเนินไป ไม่เลื่อนลอยไป ไม่แล่นไป ด้วยปุญญาภิสังขารบ้าง อปุญญา
ภิสังขารบ้าง อาเนญชาภิสังขารบ้าง เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อันกรรม....ไม่,
คำว่า เป็นผู้อันเสียงที่ได้ยินไม่พึงนำไปได้ ความว่า มุนีย่อมไม่ไป
ไม่ดำเนินไป ไม่เลื่อนลอยไป ไม่แล่นไป ด้วยความหมดจดแห่งเสียงที่ได้
ยินก็ดี ด้วยเสียงแห่งผู้อื่นก็ดี ด้วยสมบัติแห่งมหาชนก็ดี เพราะฉะนั้นจึง
ชื่อว่า เป็นผู้อันกรรมและเสียงที่ได้ยินไม่พึงนำไปได้.

[369] คำว่า เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่นำเข้าไปในที่
อาศัยทั้งหลาย
มีความว่า คำว่า ความนำเข้าไป ได้แก่ ความนำเข้า
ไป 2 อย่าง คือ ความนำเข้าไปด้วยตัณหา 1 ความนำเข้าไปด้วยทิฏฐิ 1
ฯลฯ นี้ชื่อว่าความนำเข้าไปด้วยตัณหา ฯลฯ นี้ชื่อว่าความนำเข้าไปด้วย
ทิฏฐิ มุนีนั้นละความนำเข้าไปด้วยตัณหา สละคืนความนำเข้าไปด้วยทิฏฐิ
แล้ว เพราะเป็นผู้ละความนำเข้าไปด้วยตัณหา สละคืนความนำเข้าไปด้วย
ทิฏฐิ มุนีนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้อันตัณหาและทิฏฐิไม่นำเข้าไป ไม่เข้าไปติด
ไม่เข้าถึง ไม่ติดใจ ไม่น้อมใจ ออกไป สละแล้ว พ้นขาด ไม่เกี่ยวข้อง
แล้ว มีจิตปราศจากแดนกิเลสอยู่ เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้อันตัณหา
และทิฏฐิไม่นำเข้าไปในที่อาศัยทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้น พระผู้มี
พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
มุนีผู้ถึงเวรนั้น ย่อมไม่ไปด้วยทิฏฐิ ไม่ถึงความ
ถือตัวด้วยอารมณ์ที่ทราบ มุนีนั้นเป็นผู้ไม่มีตัณหา อัน
ธรรมและเสียงที่ได้ยินไม่พึงนำไปได้ เป็นผู้อันตัณหาและ
ทิฏฐิไม่นำเข้าไปในที่อาศัยทั้งหลาย.

[370] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า :-
กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ย่อมไม่มีแก่มุนีผู้เว้นแล้ว
จากสัญญา โมหะย่อมไม่มีแก่มุนีผู้หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา
ชนเหล่าใดยังถือสัญญาและทิฏฐิ ชนเหล่านั้นกระทบ
กระทั่งกันอยู่ ย่อมเที่ยวไปในโลก.

[371] คำว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ย่อมไม่มีแก่มุนีผู้เว้น
แล้วจากสัญญา
มีความว่า มุนีใดเจริญอริยมรรคมีสมถะเป็นเบื้องต้น
กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด เป็นสภาพอันมุนีนั้นข่มเสียแล้ว ตั้งแต่กาลเบื้อง
ต้นเมื่อมุนีนั้นถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด โมหะ
นิวรณ์ กามสัญญา พยาบาทสัญญา วิหิงสาสัญญา และทิฏฐิสัญญา เป็น
สภาพอันพระอรหันต์ละเสียแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึง
ความไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ย่อมไม่มีแก่มุนีผู้เว้นแล้วจาก
สัญญา
.
[372] คำว่า โมหะย่อมไม่มีแก่มุนีผู้หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา
มีความว่า มุนีใดเจริญอริยมรรคมีวิปัสสนาเป็นเบื้องต้น โมหะเป็นสภาพ
อันมุนีนั้นข่มเสียแล้วตั้งแต่กาลเบื้องต้น เมื่อมุนีนั้นถึงความเป็นพระ
อรหันต์แล้ว โมหะ กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด นิวรณ์ กามสัญญา
พยาบาทสัญญา วิหิงสาสัญญา ทิฏฐิสัญญา เป็นสภาพอันพระอรหันต์ละเสีย
แล้ว มีรากอันตัดขาดแล้ว ทำให้ไม่มีที่ตั้งดังตาลยอดด้วน ให้ถึงความ
ไม่มีในภายหลัง มีความไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นจึง
ชื่อว่า โมหะย่อมไม่มีแก่มุนีผู้หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา.
[373] คำว่า ชนเหล่าใดยังถือสัญญาและทิฏฐิ ชนเหล่า
นั้นกระทบกระทั่งกันอยู่ ย่อมเที่ยวไปในโลก
มีความว่า ชนเหล่า
ใดยังถือสัญญา คือกามสัญญา พยาบาทสัญญา วิหญิงสาสัญญา ชนเหล่านั้น
ย่อมกระทบกระทั่งกัน คือเบียดเบียนกัน ด้วยสามารถแห่งสัญญา แม้เป็น

พระราชา ก็ย่อมวิวาทกับพวกพระราชา แม้เป็นกษัตริย์ ก็ย่อมวิวาทกับ
พวกกษัตริย์ แม้เป็นพราหมณ์ ก็ย่อมวิวาทกับพวกพราหมณ์ แม้เป็น
คหบดี ก็ย่อมวิวาทกับพวกคหบดี แม้มารดาก็ย่อมวิวาทกับบุตร แม้บุตร
ก็ย่อมวิวาทกับมารดา แม้บิดาก็ย่อมวิวาทกับบุตร แม้บุตรก็ย่อมวิวาทกับ
บิดา แม้พี่ชายน้องชายก็ย่อมวิวาทกับพี่ชายน้องชาย แม้พี่สาวน้องสาวก็
ย่อมวิวาทกับ พี่สาวน้องสาว แม้พี่ชายน้องชายก็ย่อมวิวาทกับพี่สาวน้องสาว
แม้พี่สาวน้องสาวก็ย่อมวิวาทกับพี่ชายน้องชาย แม้สหายก็ย่อมวิวาทกับ
สหาย ชนเหล่านั้นถึงความทะเลาะแก่งแย่งวิวาทกัน ย่อมทำร้ายกันและ
กันด้วยฝ่ามือบ้าง ด้วยก้อนดินบ้าง ด้วยท่อนไม้บ้าง ด้วยศัสตราบ้าง ใน
เพราะวิวาทกันนั้น ชนเหล่านั้น ย่อมถึงความตายบ้าง ถึงทุกข์ปางตาย
บ้าง ในเพราะการทำร้ายกันนั้น ชนเหล่าใดยังถึงทิฏฐิว่า โลกเที่ยง ฯลฯ
หรือว่าสัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเป็นอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เป็นอีกก็หา
มิได้ ชนเหล่านั้น ย่อมกระทบกระทั่งกัน คือเบียดเบียนกันด้วยสามารถ
แห่งทิฏฐิ กล่าวคือ ย่อมกระทบกระทั่งศาสดาแต่ศาสดา ย่อมกระทบ
กระทั่งการบอกธรรมแก่การบอกธรรม ย่อมกระทบกระทั่งคณะแต่คณะ
ย่อมกระทบกระทั่งทิฏฐิแต่ทิฏฐิ ย่อมกระทบกระทั่งปฏิปทาแต่ปฏิปทา
ย่อมกระทบกระทั่งมรรคแต่มรรค.
อีกอย่างหนึ่ง ชนเหล่านั้นย่อมวิวาทกัน คือทำความทะเลาะกัน
ทำความหมายมั่นกัน ทำความแก่งแย่งกัน ทำความวิวาทกัน ทำความ
มุ่งร้ายกัน ว่า ท่านไม่รู้ธรรมวินัยนี้ ฯลฯ หรือจงแก้ไขเพื่อปลดเปลื้อง
วาทะ ถ้าท่านสามารถ ชนเหล่านั้นยังละอภิสังขารไม่ได้ เพราะยังละ

อภิสังขารไม่ได้ จึงกระทบกระทั่งกันในคติ คือย่อมกระทบกระทั่งกันใน
นรกย่อมกระทบกระทั่งกันในกำเนิดดิรัจฉาน ย่อมกระทบกระทั่งกันใน
เปรตวิสัย ย่อมกระทบกระทั่งกันในมนุษยโลก ย่อมกระทบกระทั่งกันใน
เทวโลกย่อมกระทบกระทั่งเบียดเบียนคติด้วยคติ ย่อมกระทบกระทั่งเบียด
เบียนอุปบัติด้วยอุปบัติ ย่อมกระทบกระทั่งเบียดเบียนปฏิสนธิด้วยปฏิสนธิ
ย่อมกระทบกระทั่งเบียดเบียนภพด้วยภพ ย่อมกระทบกระทั่งเบียดเบียน
สงสารด้วยสงสาร ย่อมกระทบกระทั่งเบียดเบียนวัฏฏะด้วยวัฏฏะ กระทบ
กระทั่งกันอยู่ย่อมเที่ยวไป อยู่ เปลี่ยนอิริยาบถ ประพฤติ รักษาบำรุง
ยังชีวิตให้เป็นไป. คำว่า ในโลก ได้แก่ ในอบายโลก มนุษยโลก
เทวโลก ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ชน
เหล่าใดยังถือสัญญาและทิฏฐิ ชนเหล่านั้นกระทบกระทั่งกันอยู่
ย่อมเที่ยวไปในโลก เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า :-
กิเลสเป็นเครื่องร้อยรัด ย่อมไม่มีแก่มุนีผู้เว้นแล้ว
จากสัญญา โมหะย่อมไม่มีแก่มุนีผู้หลุดพ้นแล้วด้วยปัญญา
ชนเหล่าใด ยังถือสัญญาและทิฏฐิ ชนเหล่านั้นกระทบ
กระทั่งกันอยู่ย่อมเที่ยวไปในโลก.


จบ มาคันทิยสุตตนิทเทสที่ 9

อรรถกถามาคันทิยสุตตนิทเทส



ในมาคันทิยสุตตนิทเทสที่ 9 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ พึงทราบความใน
คาถาแรกก่อนว่า แม้เพียงความพอใจในเมถุนก็มิได้มี เพราะเห็นธิดามาร
คือนางตัณหา นางอรดี และนางราคา ผู้เนรมิตรูปต่าง ๆ มาอย่างใคร่จัด
ที่โคนไม้อชปาลนิโครธ แล้วเหตุไรความพอใจในเมถุนจักมีเพราะเห็นรูป-
นี้ที่เต็มไปด้วยมูตรและกรีสของทาริกานี้เล่า เราไม่ปรารถนาจะถูกต้องรูป
นั้นด้วยประการทั้งปวงแม้ด้วยเท้า การอยู่ร่วมกับรูปนั้นจักมีแต่ไหน.
บทว่า มุตฺตปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยมูตรที่ตั้งอยู่เต็มภายใน
กระเพาะปัสสาวะ ด้วยสามารถแห่งอาหารและฤดู.
บทว่า กรีสปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยวัจจะที่ตั้งอยู่ปลายไส้ใหญ่
สูงขึ้นไปประมา 8 องคุลี ระหว่างนาภีกับ กระดูกสันหลังส่วนล่าง กล่าว
คือกระเพาะอาหารเก่า.
บทว่า เสมฺหปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยเสมหะประมาณแล่งหนึ่ง
ซึ่งตั้งอยู่ที่พื้นห้อง.
บทว่า รุหิรปุณฺณํ ความว่า เต็มด้วยเลือด 2 อย่าง กล่าวคือ
เลือดที่สั่งสมไว้ประมาณเต็มบาตรใบ 1 เต็มส่วนล่างของตับแล้วค่อย ๆ
ไหลไปในหัวใจม้ามและปอด ทำม้ามหัวใจตับและปอดให้ชุ่มตั้งอยู่อย่าง
หนึ่งกล่าวคือเลือดเครื่องแล่นไป ซึ่งแผ่ไปทั่วร่างที่มีใจครอง โดยแล่น